07 June 2025

อยากแสดงเป็นวันอะไร เดือนอะไร ระหว่าง Format dddd กับสูตร Text(Cell,"dddd") ควรใช้อะไร

เซลล์สีส้ม B3 ตามภาพนี้มีข้อมูล 7/6/2025 ถ้าอยากแสดงว่าเป็นวันอะไร เดือนอะไร เดือนปีอะไร มักเจอคำแนะนำให้ใช้สูตร Text ตามพื้นที่สีเขียว

=Text( $B$3, "dddd" ) จะได้วันเสาร์
=Text( $B$3, "mmmm" ) จะได้เดือนมิถุนายน
=Text( $B$3, "mm-yy" ) จะได้ 06-25

ส่วนพื้นที่สีฟ้า ไม่ได้ใช้สูตรอะไรเลยแจ่ลิงก์ค่าจากเซลล์ B3 มาใช้แล้วกำหนด Custom Format 

Format dddd จะได้วันเสาร์
Format mmmm จะได้เดือนมิถุนายน
Format mm-yy จะได้ 06-25

ดูให้ดีจะพบว่าแม้สูตร Text กับ Format จะช่วยทำให้ได้แบบเดียวกัน แต่การใช้สูตร Text ได้ค่าที่ชิดซ้าย ส่วนการใช้ Format ได้ค่าชิดขวา คุณคิดว่าจะเลือกใช้แบบไหนดีกว่ากัน

เพื่อความสะดวกในการคำนวณ แนะนำให้ใช้ Format ดีกว่าครับ เพราะสิ่งที่ได้นั้นชิดขวา แสดงว่าค่าที่เห็นแม้เป็นตัวอักษร แต่ยังคงมีค่าเป็นตัวเลข พร้อมจะลิงก์ไปใช้ต่อในการคำนวณ ส่วนค่าที่ชิดซ้ายนั้น นำไปคำนวณต่อไม่ได้

แล้วเมื่อไหร่จะใช้สูตร Text ล่ะ !!!

สูตร Text จะช่วยให้เปลี่ยนรูปแบบใหม่ได้โดยไม่ต้องแก้ไขอะไรใหม่ แค่กรอกรูปแบบลงไปในเซลล์สีชมพู B7, B8, B9 จะได้วันเดือนตามมาให้ทันที

แต่ถ้าเลือกใช้ Format ล่ะ พออยากจะเปลี่ยนรูปแบบก็ต้องคลิกลงไปในเซลล์แล้วสั่ง Format Cells > Number > Custom แล้วเสียเวลาไปกำหนดรูปแบบใหม่

นี่คือสิ่งที่เหนือกว่าจากการใช้สูตร Text แต่ก็ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างเสมอ 

Download ตัวอย่างจาก
https://drive.google.com/file/d/1WvLKqiHaH4E2pRmNEHk_hRugaR8D5LZg/view?usp=sharing

Data Table ช่วยทำให้คุณขี้เกียจทำงานซ้าๆอะไรได้บ้าง

หลักการทำงานของ Data Table เป็นการสั่งให้ Excel ส่งค่าใหม่ที่กรอกไว้เป็น Row Input และหรือ Column Input ไปยังเซลล์ใดก็ได้ในตาราง (Input Cell) จากนั้น Excel จะแอบคำนวณใหม่หาผลลัพธ์ให้โดยที่เรามองไม่เห็นว่ามีการคำนวณเกิดขึ้นเลย ซึ่ง Input Cell นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเซลล์ที่เป็น Value ซึ่งมีค่าที่กรอกไว้ แต่ยังเป็นเซลล์สูตรได้ด้วย

พอเข้าใจหลักการทำงานของ Data Table แล้ว จะพบว่าคำสั่งนี้สามารถใช้ทำงานได้หลายอย่าง 

1. ใช้ทดสอบสูตรที่สร้างขึ้น โดยส่งหลายๆค่าไปใช้กับสูตรนั้นว่าสามารถทำงานได้หรือไม่

2. เมื่อทดสอบสูตรว่าทำงานได้ตามต้องการแล้ว สามารถใช้ Data Table ส่งรหัสใหม่หรือตัวแปรใหม่ไปหาคำตอบอื่นมาให้ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างสูตรหรือ copy สูตรมาวางซ้ำอีกเลย 

3. ช่วยทำให้ในตารางมีสูตรต้นตอที่สร้างไว้เพียงที่เดียว หากจะแก้ไขสูตรก็แก้ไขที่เซลล์ต้นตอ Data Table จะใช้สูตรนั้นในการหาคำตอบอื่นมาให้ โดยสูตรต้นตออาจสร้างไว้ในเซลล์เดียวหรือใช้ทั้งตารางเพื่อใช้คำนวณอย่างซับซ้อนก็ได้

4. ต่อเนื่องจากข้อ 3 จะทำให้ในแฟ้มมีขนาดเล็กลง เพราะไม่ต้องมีตารางที่ใช้คำนวณแบบเดียวกันซ้ำๆหลายตารางหรือหลายชีทอีกเลย อีกทั้งยังทำให้การคำนวณเร็วขึ้นเมื่อใช้ระบบคำนวณแบบ Automatic Except for Data Table หรือแบบ Partial โดย Data Table จะคำนวณใหม่ให้ต่อเมื่อเรากดปุ่ม F9 เท่านั้น ส่วนตารางสูตรอื่นๆยังคงคำนวณใหม่ให้แบบ Automatic

5. ถ้าสูตรที่สร้างไว้ในตารางคำนวณเกิด error ขึ้นมา จะทำให้สูตรอืนที่ลิงก์ไป error ตามไปด้วย ซึ่งตามปกติต้องเสียเวลาไปใช้สูตร ISError แก้ไม่ให้ error ก่อน ให้ใช้ Data Table ส่งค่าที่คิดไว้ไปใช้แทนสูตรที่ error เพื่อให้สูตรที่ลิงก์ต่อสามารถหาคำตอบมาให้

6. ผลลัพธ์ที่ Data Table หามาให้หลายๆค่าในรูปแบบของตารางยืดหยุ่นกว่าการใช้ Goal Seek ที่มีข้อจำกัดว่าจะทำงานได้ทีละครั้งและแต่ละครั้งต้องกรอกค่า To Value เอง ดังนั้นในการวางแผนจะสร้าง Data Table เพื่อดูเป้าหมายที่เป็นผลลัพธ์คร่าวๆขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงใช้ Goal Seek ซ้ำต่อบนตาราง Data Table เพื่อหาตัวแปรที่ทำให้ได้ค่าตรงกับเป้าหมาย

7. เมื่อใช้สูตร Index หรือ Choose มาทำงานร่วมกับ Data Table จะช่วยทำให้ Data Table ทำงานได้ไม่จำกัดตัวแปร และทำให้ใช้ตาราง Data Table เพียงตารางเดียวหาคำตอบจากสูตรหลายสูตรมาให้

แนะนำให้ดูเนื้อหาในหลักสูตรสุดยอดเคล็ดลับและลัดของ Excel ซึ่งเปิดให้เรียนออนไลน์ฟรีที่เว็บ XLSiam.com 

 

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.